@...บันทึกอิงฟ้า >> โทรศัพท์ ...@
โทรศัพท์

 

   

17/05/45

             โทรศัพท์ที่บ้านมีสองเบอร์ เบอร์หนึ่งของเอกชน อีกเบอร์หนึ่งใช้ขององค์การโทรศัพท์ ตอนที่ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ยังไม่มีโทรศัพท์ ป๋าเป็นคนเสนอให้ติดโทรศัพท์จะได้โทรคุยกับลูกๆที่ตอนนี้คนหนึ่งอยู่หอในมาหาวิทยาลัย ส่วนอีกคนเช่าบ้านอยู่กับเพื่อน ตอนแรกก็ขอเบอร์จากทางองค์การโทรศัพท์แต่คิวยาวเหลือเกิน รอไม่ไหว จึงตัดสินใจใช้เบอร์ของเอกชน เพราะได้เร็วไม่ต้องรอนาน แต่ก็ลงชื่อต่อคิวขอเบอร์จากทางองค์การไว้ด้วย เวลาผ่านไปจนได้ปีกว่า ทางองค์การถึงมีเอกสารมาว่าเบอร์ที่ขอไปนั้นได้แล้ว ป๋าก็ให้หม่ามี๊ตัดสินใจว่าจะเอาหรือไม่เอา ฉันก็เสนอว่าน่าจะเอาไว้ใช้นะ มีสองเบอร์ก็ไม่เป็นไร อีกอย่างเวลาใช้อินเตอร์เน็ตจะได้ไม่มีปัญหาเวลาที่ใครโทรเข้ามาด้วย ดังนั้นเบอร์เดิมที่เป็นของเอกชนก็ใช้ไว้ที่ชั้นล่าง เบอร์ใหม่ขององค์การโทรศัพท์ต่อสายขึ้นไปข้างบนและเป็นเบอร์พิเศษ ไม่บอกกับใครนอกจากคนที่สนิทกันจริงๆและคนในครอบครัวเท่านั้น ที่บ้านก็เลยมีสองเบอร์

              เรื่องแรกที่จะเล่าเกี่ยวกับโทรศัพท์ก็เห็นจะเป็นเรื่องคนโทรมาผิด ซึ่งมีบ่อยมาก โดยเฉพาะเบอร์ข้างล่างมีคนโทรผิดมาแทบจะทุกวันเลย โทรมาถามว่าเป็นร้านแก๊สหรือเปล่าบ้าง โทรมาถามหาคนชื่อนั้นบ้าง ชื่อนี้บ้าง แต่ชื่อที่ถามหาบ่อยมากก็คือ "แมว" ทั้งๆที่บ้านนี้ไม่มีคนชื่อแมวสักกะคน แม้แต่แมวจริงๆก็ไม่มี บางคนโทรมาผิดบ่อยมากจนฉันจำได้เลยว่าลุงคนนี้โทรมาผิดอีกแล้ว เฮ้อ...เวลาจะกดเบอร์ทำไมไม่รู้จักดูให้ดีๆก็ไม่รู้  รับโทรศัพท์ผิดทีไรเซ็งทุกที ก็กำลังทำอย่างอื่นอยู่โทรศัพท์ทำให้ต้องผละจากสิ่งที่กำลังทำเพื่อมารับนะสิ จนบางทีทำให้ไม่อยากจะรับปล่อยให้มันดังอยู่นั่นแหล่ะ แต่ก็รำคาญแล้วรับอยู่ดี วันไหนที่มีคนโทรมาผิดสองครั้งหงุดหงิดจนดึงสายโทรศัพท์ออกดื้อๆเลย ตอนนี้ก็ไม่บ่อยมากแต่ก็ยังคงมีอยู่

              เรื่องที่สองเห็นจะหนีไม่พ้นพวกโรคจิต เกลียดที่สุดเลยไอ้พวกนี้ วันๆไม่มีอะไรทำหรือไงถึงชอบโทรมากวนชาวบ้าน เป็นเบอร์ข้างล่างอีกตามเคย มันเริ่มมีโทรศัพท์จากพวกโรคจิตโทรมาหลังจากที่ติดโทรศัพท์มาได้สักสองสามเดือน บ่อยมากทุกวัน โทรมาพอเรารับสายก็จะไม่พูด ก็ถามดีๆต้องการพูดกับใครก็ไม่ตอบ พอวางอีกสักพักก็โทรมาอีก แล้วก็เหมือนเดิม หลายครั้งจนระอาและเบื่อหน่าย หม่ามี๊ถึงขนาดไม่กล้ารับโทรศัพท์เลย แต่ฉันไม่กลัวมันหรอก ถ้ามันโทรมาก็วางสาย แต่มีครั้งหนึ่งที่เหลือจะทนได้ ก็เลยด่าไปซะยาวเหยียด ขู่ทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ถ้าขืนโทรมาอีกและฉันรู้ว่าแกเป็นใครฉันเอาแกตายแน่ !! ตอนนั้นโกรธและโมโหมากถึงได้พูดขู่ไปอย่างนั้นเองเพราะยังไงก็คงไม่มีทางสืบรู้ว่ามันเป็นใคร หลังจากนั้นมันก็หายไปพักหนึ่งแล้วก็โทรมาอีก เฮ้อ...ทำอะไรไม่ได้นอกจากกระแทกหูโทรศัพท์ใส่มัน แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วมันคงจะเบื่อหรือไม่ก็หาเหยื่อรายใหม่ได้แล้ว ไอ้พวกโรคจิตอย่างนี้นะน่าจะแช่งให้เกิดมาชาติหน้าเป็นใบ้ซะนี่ อยากไม่พูดดีนัก

              สองเรื่องที่เล่าไปเป็นเรื่องโทรศัพท์ข้างล่าง โทรศัพท์ข้างบนก็มีเหมือนกันไม่แน่ใจว่าจะรวมเป็นเรื่องพวกโรคจิตได้หรือเปล่า รวมทั้งพวกโทรมาผิด มีครั้งหนึ่งเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะเหนื่อย กำลังนอนอยู่ดีๆ โทรศัพท์ก็ดัง ก็อุตส่าห์ลุกไปรับแต่เป็นพวกโทรผิดอีกตามเคย ฉันก็บอกไปว่าไม่มีคนชื่อนี้ค่ะ อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย ฟังจากเสียงคงเป็นชายหนุ่ม ตอบมาว่าขอโทษครับ ก็นึกว่า มารยาทดีเหมือนกัน น้อยคนที่โทรมาแล้วจะบอกขอโทษ ก็เลยตอบไปไม่เป็นไรค่ะ พอจะวางสายเขาก็ถามมาอีกล่ะ แล้วที่นี่ที่ไหนครับ ก็ตอบไป แทนที่จะวางได้แล้วดันมาถามอีกว่าฉันชื่ออะไร ชวนคุยเฉยเลย เริ่มอารมณ์ไม่ดีหนักขึ้น เพราะต้องตื่นมารับก็เลยวางหูไปดื้อๆ สงสัยจะเป็นไอ้พวกหม้อ ที่สุ่มเบอร์โทรมาคุยกับผู้หญิง ทำไมสมัยนี้มีแต่พวกจิตไม่ปกติก็ไม่รู้ เฮ้อ...

              คราวนี้เกี่ยวกับการที่มีเบอร์โทรศัพท์สองเบอร์ มีวันหนึ่งอยู่ข้างบนแล้วโทรศัพท์ข้างล่างก็ดัง ก็ทำงานยุ่งอยู่ข้างบนยังวางไม่ได้กว่าจะวิ่งลงบันไดไปรับพอมาถึงมันก็เงียบแล้ว นั่งพักยังไม่ทันหายเหนื่อยมันก็ดังข้างบนอีก ได้หอบสังขารวิ่งขึ้นไปรับข้างบน คนโทรไม่ใช่ใครที่ไหนพี่ชายตัวแสบนะเอง จะทำน้องสาวตกบันไดตาย

              เรื่องสุดท้ายนี่ไม่เกี่ยวกับเบอร์โทรศัพท์ทั้งสองเบอร์ที่บ้าน แต่เป็นโทรศัพท์มือถือและเป็นเรื่องที่ขบขันมาก เรื่องมีอยู่ว่า ไปงาน Bye'nior ที่มหาวิทยาลัยเก่าป้ารหัสของฉันเรียนจบแล้ว เจอกันก็ให้เบอร์โทรศัพท์มือถือไป ป้ารหัสเล่าให้ฟังว่าเสียดายที่พี่รหัสของฉันมาได้ไม่นาน มาตั้งแต่ตอนกลาวันและกลับไปแล้ว ถามว่าฉันเคยเจอพี่รหัสบ้างไหม ฉันก็ว่าไม่เคยเจอเลยทั้งๆที่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน พี่รหัสของฉันเข้ามหาวิทยาลัยนี้แล้วออกไปเอนทรานซ์ใหม่ได้อีกมหาวิทยาลัยก็เลยย้ายไปแล้วฉันก็เลยเจริญรอยตามพี่รหัสเอนทรานซ์ใหม่ไปอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เคยส่งข้อความทางเพจเจอร์ไปบอกว่าอยู่คณะไหน แต่พี่เขาก็ไม่เคยติดต่อมา และก่อนกลับบ้านป้ารหัสก็ถามว่าฉันจะมางานรับปริญญาของปู่รหัสไหม ฉันก็บอกว่ายังไม่รู้ว่าจะติดธุระที่ไหนหรือเปล่าถ้ามาได้จะมา และหลังจากงานคืนนั้นก็ผ่านไป จนใกล้ถึงวันรับปริญญา แล้ววันหนึ่งเป็นตอนกลางคืนมีเบอร์แปลกหน้าโทรมาเข้าโทรศัพท์มือถือของฉัน ฉันก็กดรับ อีกฝ่ายโทรมาฟังได้ยินไม่ถนัดเพราะเปิดโทรทัศน์ พอเดินไปตรงที่เงียบๆ อีกฝ่ายก็วางสายเฉยเลย แล้วเดี๋ยวก็โทรมาอีก คราวนี้พอฉันรับ ก็แบตเตอรี่หมดพอดี ก็คิดว่าเขาคงโทรมาผิดจบเรื่องไป แต่มันยังไม่จบ วันต่อมาซึ่งเป็นวันหยุด ก็อยู่ที่บ้าน โทรศัพท์มือถือของฉันก็ดังอีกเป็นเบอร์เดียวกันกับที่โทรมาเมื่อวาน ฉันก็รับ เขาก็พูดอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่ถนัดแล้วก็วางสาย แล้วก็โทรมาอีก อยู่สองสามรอบคุยกันไม่รู้เรื่องเพราะอีกฝ่ายโทรมาได้แป๊บแล้วก็วาง ตอนนั้นเริ่มหงุดหงิดแล้ว คิดว่าเป็นพวกไอ้โรคจิต  เขาโทรมาอีกล่ะ กะจะด่าแล้วนะถ้าเขาไม่ถามว่านั่นใครพูดครับใช่ฟ้าหรือเปล่า เราก็รับว่าใช่ คราวนี้เขาไม่วางสายแล้วในที่สุดก็คุยกันรู้เรื่องปรากฏว่าเป็นพี่รหัสของฉันเองที่โทรมา ฉันก็ไม่รู้ เขาได้เบอร์ฉันจากป้ารหัส และคิดว่าฉันก็มีเบอร์เขาแล้ว คิดว่าฉันรู้ว่าเขาเป็นพี่รหัส โทรมาจะชวนไปงานรับปริญญาปู่รหัสด้วยกัน แล้วไอ้ที่โทรๆวางๆ ก็เพราะว่าจะโทรไม่ให้เกินหกวินาที จะได้ไม่ต้องเสียตังค์ แถมยังมาถามเฉยเลยว่าไม่รู้เหรอ เฮ้อ... เพราะโทรคุยกันไม่รู้เลยคราวนี้เขาถึงไม่วาง แหม...น่าจะทำตั้งแต่แรกแล้ว หวิดเกือบโดนน้องรหัสด่าแล้วไหมล่ะ พี่รหัสขา...

               เรื่องเกี่ยวกับโทรศัพท์เรื่องสุดท้ายก็ยังเป็นเรื่องโทรศัพท์มือถือของฉัน เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ฉันไม่ได้ลงเรียนภาคฤดูร้อนแล้วพอดีพี่ชายไปออกค่าย เขามาขอยืมโทรศัพท์มือถือของฉัน ของเขามันเสียและเห็นว่าฉันอยู่บ้านไม่ได้ใช่อะไร ( โดยปกติฉันใช้โทรศัพท์มือถือไว้ติดต่อกับที่บ้านรายงานว่าตอนนี้อยู่ไหน กลับบ้านเช้าหรือค่ำ ขึ้นรถกลับบ้านแล้วหรือยัง ถ้ากลับช้ากว่าปกติธรรมดามีประชุมหรือกิจกรรมก็ต้องโทรไปรายงาน ) ฉันก็ให้ยืมไปไว้ให้เขาใช้ติดต่อกับที่บ้าน แล้วหลังจากนั้นผ่านไปสองสมวัน ฉันไปอยู่ที่ทำงานกับป๋าอยู่กันคนละห้อง อยู่ๆ ป๋าก็เข้ามาพร้อมกับโทรศัพท์มือถือของป๋าที่ส่งเสียงดัง หาถามว่าเล่นตลกอะไร ไม่มีอะไรทำหรือไง อยู่ใกล้กันแค่นี้โทรมาเข้ามือถือทำไม ฉันก็งง อะไร ไม่ได้โทรสักหน่อย ป๋าก็ว่า อ้าวแล้วนี่เบอร์ฉันโทรเข้า พอได้ยินฉันก็หัวเราะ ลืมไปว่าป๋าไม่รู้ว่าพี่ชายยืมโทรศัพท์ฉันไป พอป๋าเข้าใจก็กดรับ ปรากฏว่าพี่ชายฉันโทรมาถามเรื่องรถ

               นี่ล่ะแค่มีโทรศัพท์ก็มีเรื่องตามมาเอามาเล่าได้ตั้งยาว เมื่อก่อนโทรศัพท์อาจจะไม่ใช่ของจำเป็นสำหรับฉัน มีก็ได้ไม่มีก็ได้ แต่ตอนนี้เห็นจะจำเป็นต้องมี เพราะถ้าไม่มีโทรศัพท์ก็เข้าอินเตอร์เน็ตไม่ได้นะสิ เดือนๆหนึ่งเงินค่าโทรศัพท์ที่เสียไปก็จะเป็นค่าโทรศัพท์มือถือที่หม่ามี๊โทรหาพี่ชายซึ่งตอนนี้มีโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่แล้วของแฟนเขาใช้ด้วยกัน แล้วก็เสียค่าโทรศัพท์ธรรมดาเพราะต่ออินเตอร์เน็ต ที่จะเสียเพราะโทรออกไม่ค่อยจะมีมากเท่าไหร่ มีแต่คนโทรเข้ามา  ยอมรับนะว่าฉันเป็นคนงก คิดว่าจะใช้โทรศัพท์ต่อเข้าอินเตอร์เน็ตไม่ให้เกินตามที่กำหนดไว้เพราะมันหมดเปลืองทั้งๆที่ฉันก็ไม่ได้เป็นคนออกค่าโทรศัพท์ อิอิ แต่บางทีอินเตอร์เน็ตมีปัญหาทำให้หลุดบ่อย ต่อแล้วหลุดบ้าง ก็ต้องต่อใหม่ เพราะงกทำให้เสียดายเงิน เดือนนี้มีปัญหามากที่สุดเลย ไม่รู้ว่าค่าโทรศัพท์จะเท่าไหร่กันนะ เฮ้อ...เคยคิดนะถ้าไม่มีโทรศัพท์ก็จะประหยัดเงินได้มากเลย แต่ถ้าไม่มีก็ลำบากเหมือนกัน